เมื่อพูดถึงวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งบ้าน หลายๆท่านนึกถึง “ไม้” ด้วยความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของลายไม้ สีสันและผิวสัมผัสที่ช่วยให้ผู้อาศัยรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ สร้างบรรยากาศในบ้านให้เกิดความอบอุ่นและเรียบหรูได้อย่างลงตัว จึงทำให้ไม้ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมมาอย่างยาวนาน

แต่บางท่านพบเจอปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไม้โก่งตัว บิดงอ มีอายุการใช้งานไม่คงทน ปลวกกินหรือปัญหาอื่นๆอีกมากมายที่พบเจอในงานไม้ โดยสาเหตุหลักมาจาก “การไม่เข้าใจคุณสมบัติของไม้ที่เลือกใช้ ทำให้เลือกชนิดของไม้ที่จะใช้งานและขนาดไม่เหมาะกับลักษณะงานที่ใช้” ดังนั้นเราจึงอยากจะมาแชร์ความรู้เบื้องต้นที่สำคัญเกี่ยวกับไม้ชนิดต่างๆ ลักษณะการใช้งานและข้อแนะนำต่างๆในการนำไม้ไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ไม้เนื้อแข็ง คืออะไร?

ไม้เนื้อแข็งจะมีวงปีมากกว่าไม้เนื้ออ่อน เนื่องจากมีระยะเวลาการเจริญเติบโตช้าและไม้ต้องมีอายุมากถึงจะนำมาใช้งานได้ดังนั้นจึงเป็นไม้ที่มีวงปีแคบและมากกว่าไม้เนื้ออ่อน ไม้ชนิดนี้ส่วนใหญ่เนื้อไม้จะมีสีเข้ม ลายเนื้อไม้ละเอียด เนื้อแน่น มีความเหนียวและมีคุณสมบัติที่โดดเด่นด้านความแข็งแรงทนทาน สามารถรับน้ำหนักได้ดี เช่น ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้ประดู่ และไม้ตะเคียน เป็นต้น

ถึงแม้ว่าไม้เนื้อแข็งจะมีข้อดีคือ แข็งแรงและทนทาน แต่ก็มีข้อเสียคือ ถ้ามีความชื้น ความร้อนหรืออุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลงอาจเกิดการบิดตัวของไม้ แต่ไม้บางประเภทสามารถทนแดดทนฝนและควบคุมการยืดหดตัวของไม้ได้เป็นอย่างดี

ไม้เนื้ออ่อน คืออะไร?

ไม้เนื้ออ่อนเป็นไม้ที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตเร็ว ทำให้มีวงปีที่กว้าง ลายไม้ที่ได้จึงน้อยและไม่ละเอียด เนื้อไม้จึงมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่าไม้เนื้อแข็ง ไม้ชนิดนี้จะมีสีของไม้แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่ไม้ที่มีสีอ่อนไปจนถึงสีเข้ม เนื่องจากเนื้อไม้ไม่แข็งมากจึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนของโครงสร้างที่ต้องการรับน้ำหนัก มักนิยมนำมาใช้สำหรับงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ หรือโครงสร้างที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก แต่ก็ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดดตากฝน ตัวอย่างไม้ชนิดนี้มีทั้ง ไม้สยาขาว ไม้ฉำฉา(จามจุรี) ไม้ยาง รวมถึง ไม้มะม่วง ทุเรียน ขนุน และไม้ต่างประเทศ ซึ่งไม้ต่างประเทศส่วนใหญ่นั้นจะเป็นไม้เนื้ออ่อน จึงนิยมนำมาใช้เป็นไม้สำหรับงานตกแต่งเพื่อความสวยงาม